ซุปเต้าหู้กิมจิ ปกิมจิ เป็นอาหารเกาหลีที่หลาย ๆ คนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะสามารถพบเห็นได้ในซีรีส์เกาหลีอยู่บ่อยครั้ง โดยเมนูนี้ถือว่าเป็นเมนูอาหารเกาหลีโบราณ ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี และถือว่าเป็นเคล็ดลับ ที่ช่วยให้ชาวเกาหลี สุขภาพดีอีกด้วย
ชั่วโมงนี้บอกเลยว่าใครๆ ก็เป็นเชฟได้ ยิ่งในวันหยุด ที่ทุกคนต้องอยู่บ้านมากขึ้นแบบนี้ คงมีหลายๆ คนที่เลือกจะใช้เวลาว่าง ไปกับการดูซีรีส์เกาหลี
วันนี้เราเลยขอมา แจกสูตรอาหาร สูตรทำ ซุปกิมจิเต้าหู้อ่อน อาหารเกาหลีเมนูเด็ด เมนูอร่อยตามกระแส อินซีรีย์เกาหลี อันยองซาเฮโย ซดร้อน คล่องคอ ดีจริงเชียว อร่อยได้ที่บ้าน ไม่ต้องบินไปเกาหลี มาดูส่วนผสม และวิธีทำกันเลยค่ะ ซุปเต้าหู้กิมจิ
เชื่อว่าเพื่อน ๆ ที่ชอบกินอาหารเกาหลี ก็น่าจะเคยกิน “ซุปกิมจิเต้าหู้อ่อน” หรือ กิมจิจิเก (김치찌게) เมนูซุปหรือแกงกิมจิ ที่มีน้ำขลุกขลิก รสชาติกิมจิเข้มข้น เอาไว้กินกับข้าวสวยร้อน ๆ แหม แค่นึกภาพก็อยากกินขึ้นมาเลยละค่ะ เคล็ดลับโกงอายุ ถ้าใครกลัวว่าจะทำยาก กลัวทำแล้วไม่ถูกปาก เหมือนเวลาไปกินที่ร้าน
เราขอแนะนำตัวช่วยอย่าง ซอสซุปกิมจิจิเก เลยค่ะ เพราะนอกจากจะมีรสชาติเข้มข้น กลมกล่อมเหมือนต้นตำรับ ยังใช้ง่าย สะดวกสบาย รับรองว่าใช้เวลาปรุงแค่ 5 นาที ก็ได้กินแล้ว! ถ้าเพื่อน ๆ พร้อมกันแล้วเราไปดูวิธีทำซุปกิมจิกันเลยค่าา
ส่วนผสม
- เต้าหู้โมเมน หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมพอคำ 100 กรัม
- เส้นบุก 1/4 ถ้วย
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- กิมจิผักกาดขาว หั่นชิ้นพอคำ 1/4 ถ้วย
- กะหล่ำปลี หั่นเป็นเส้น 1/4 ถ้วย
- น้ำซุป 1 1/2 ถ้วย
- ซอสโคชูจัง 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
- ต้นหอม หั่นท่อน 1 ต้น
วิธีทำ
- ผัดกิมจิกับซอสโคชูจังในหม้อ ด้วยไฟกลาง พอให้เข้ากัน
- เติมน้ำซุปลงไป รอจนเดือด จากนั้นใส่กะหล่ำปลีลงเคี่ยวให้สุกนิ่ม ปรุงรสด้วย
น้ำตาลทราย - ใส่เส้นบุก เต้าหู้โมเมน และต้นหอมลงไป รอจนส่วนผสมเดือดอีกครั้ง ใส่ไข่ลงยีให้สุก
ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟได้ทันที
ง่ายสุด ๆ ไปเลยใช่ไหมล่ะคะ กับ “ซุปกิมจิเต้าหู้อ่อน” ที่มีรสชาติแบบต้นตำรับเกาหลีแท้ ๆ เหมือนไปนั่งกินที่ฮงแด เพราะเรามี โอฟู้ด ซอสซุปกิมจิจิเก ซอสปรุงรสซุปกิมจิจากเกาหลี สะดวก ปรุงง่ายแค่ 5 นาที อร่อยเข้มข้นตามแบบฉบับเกาหลี ทำให้การทำซุปกิมจิไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ใช้เวลาทำไม่นาน แถมรสชาติกลมกล่อมโดนใจอีกต่างหาก บาคาร่าdg ยิ่งใส่หม้อหินแบบเกาหลียิ่งทำให้ร้อนนาน กินถึงก้นหม้อแล้วก็ยังร้อน ฟินสุด ๆ ไปเลยค่ะ
เปิดตำนานซุปกิมจินั้นมาจากไหน ?
กิมจิ มีต้นกำเนิดมาจากความต้องการถนอมอาหารของชาวเกาหลีในสมัยก่อน เพราะว่าในช่วงฤดูหนาวของประเทศเกาหลีนั้นมีอากาศหนาวจัด และไม่เหมาะกับการเพาะปลูก โดยการหมักดองแบบดั้งเดิมในศตวรรษที่ 7 จะเป็นการนำหัวผักกาด หรือผักต่างๆ มาหมักดองกับเกลือใส่ไว้ในไห และนำไปฝังไว้ในดิน
ในสมัยโชซอนได้มีการเพิ่มเหล้าเข้ามาในการหมักดองด้วย และหลังจากนั้นไม่นาน ซึ่งเป็นช่วงราวศตวรรษที่ 17 ได้มีการนำเข้าผักจากต่างประเทศ และได้มีการนำเข้าพริกแดงจากญี่ปุ่น
จึงทำให้พริกแดง กลายมาเป็นอีกส่วนผสมสำคัญ ของการหมักดองกิมจิ ในปลายสมัยโชซอน จนกลายมาเป็นกิมจิสีแดง ที่เป็นทั้งเครื่องเคียงหมูย่างเกาหลี และส่วนประกอบของเมนูอาหาร เกาหลียอดฮิต และสูตรซุปกิมจิแบบต่าง ๆ ในปัจจุบัน และเป็นที่นิยมแพร่หลาย ทั้งในประเทศเกาหลี และทั่วโลก
สูตรซุปกิมจิร่วมสมัย ที่อร่อยไม่แพ้กับสูตรดั้งเดิม
ถึงแม้ว่าซุปกิมจิแบบดั้งเดิมนั้นจะมีความอร่อย และกลมกล่อมอย่างลงตัว แต่ว่าในปัจจุบันนั้นซุปกิมจิได้กลายเป็นเมนูอาหารเกาหลีที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย จึงทำให้มีสูตรซุปกิมจิที่มีการปรับเปลี่ยนให้ร่วมสมัยมากขึ้น โดยสูตรซุปกิมจิร่วมสมัยที่อร่อยไม่แพ้สูตรดั้งเดิมมีทั้งหมด ดังนี้
- สูตรสตูว์ซุปกิมจิ
สูตรสตูว์ซุปกิมจิ เป็นสูตรที่มีวัตถุดิบ และส่วนผสมเหมือนกับสูตรซุปกิมจิแบบดั้งเดิม แต่ว่าจะมีการเปลี่ยนเนื้อสัตว์ที่จะใส่ลงไปในซุปกิมจิ โดยจะใช้เนื้อสัตว์ส่วนที่ติดมันมาหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ และจะตุ๋นให้เนื้อนั้นเปื่อย และนุ่ม เพื่อนำมาใส่ลงในซุปกิมจิแทนหมูสามชั้น โดยในสูตรสตูว์จะเลือกใช้เป็นเนื้อวัวหรือเนื้อหมูก็ได้เช่นกัน
แต่ถ้าหากใช้เนื้อวัวให้ระวังในเรื่องของกลิ่นคาว เพราะอาจทำให้กลิ่นของซุปกิมจินั้นเหม็นคาว หรือรสชาติเปลี่ยนไปได้ ดังนั้น จึงควรดับกลิ่นคาวของเนื้อวัวให้ดีก่อนจะนำไปทำซุปกิมจิสูตรสตูว์
- ซุปกิมจินมถั่วเหลือง
สูตรซุปกิมจินมถั่วเหลือง เป็นสูตรที่มีวัตถุดิบ และส่วนผสมคล้ายกับสูตรซุปกิมจิแบบดั้งเดิม แต่ว่าจะมีการปรับเปลี่ยน และเพิ่มวัตถุดิบวัตถุดิบหรือส่วนผสมบางอย่างเข้ามา โดยเปลี่ยนเป็นใช้เนื้อหมูส่วนสะโพก หรือเนื้อสันนอกที่มีความนุ่มหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ พร้อมกับเพิ่มหัวไชเท้า แครอท นมถั่วเหลือง และมิโซะ หรือเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นบดลงไป เพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้น้ำซุป และเพิ่มคุณค่าทางโภชนการให้กับเมนูซุปกิมจิมากยิ่งขึ้น
- ซุปกิมจิสูตรสุขภาพ
สูตรซุปกิมจิแบบรักสุขภาพ จะมีการเปลี่ยนวัตถุดิบ และส่วนผสมให้คลีนมากขึ้น โดยเปลี่ยนจากการใช้หมูสามชั้นหรือเนื้อสัตว์ติดมัน เป็นการใช้เนื้อไม่ติดมันหรืออกไก่แทน เพื่อลดไขมันและเพิ่มโปรตีนมากยิ่งขึ้น พร้อมกับลดเครื่องปรุงรสต่างๆ เช่น การลดหรือไม่ใส่ซอสโคชูจังที่มีส่วนผสมของโซเดียม หรือพริกป่นเกาหลี เพื่อลดความจัดจ้านของน้ำซุปให้น้อยลง และอาจจะมีการเพิ่มผักต่างๆ เข้าไป เช่น หัวไชเท้า หรือแครอท เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ จึงเป็นสูตรซุปกิมจิที่เหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักหรือกำลังควบคุมอาหารเป็นอย่างดี
เคล็ดลับทำซุปกิมจิอย่างไร ให้อร่อย
ถึงแม้ว่าสูตรซุปกิมจิแบบดั้งเดิม หรือแบบร่วมสมัยจะมีรสชาติอร่อย และความกลมกล่อมที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว แต่ว่าทุกคนก็สามารถเสริมความอร่อยให้มากขึ้นได้ด้วย 4 เคล็ดลับที่จะช่วยให้ซุปกิมจิของทุกคนนั้นอร่อยเหมือนต้นตำรับมากยิ่งขึ้น ดังนี้
เลือกใช้กิมจิที่สดใหม่
วิธีทำซุปกิมจิให้อร่อยนั้นควรเลือกใช้กิมจิที่มีความสดใหม่ เพราะว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสของผักสามารถเปลี่ยนไปได้ตามระยะเวลาที่ได้ทำการหมักดองไว้ ถ้าหากเลือกใช้กิมจิที่ดอง หรือเก็บมานานอาจทำให้ผักเปื่อยเกินไป เมื่อนำมาทำซุปกิมจิอาจทำให้ผักเละ และไม่สามารถตักทานเป็นคำได้ ดังนั้น จึงควรเลือกกิมจิที่ใช้เวลาหมักดองประมาณ 14-30 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ผักกำลังกรอบอร่อย และรสชาติเข้มข้นกำลังพอดีมากที่สุด
ซุปกิมจิแท้ต้องใส่ต้นหอมยักษ์
เคล็ดลับความอร่อยของซุปกิมจิแบบต้นตำรับ คือ การใส่ต้นหอมยักษ์ลงในซุปกิมจิ โดยต้นหอมยักษ์นั้นเป็นเครื่องเทศของประเทศเกาหลีใต้ที่นำมาใช้ในการดับกลิ่นคาวของเนื้อตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน และช่วยเสริมให้กลิ่นของซุปกิมจินั้นเป็นเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น คล้ายกับแกงกะหรี่ของญี่ปุ่นหรืออินเดีย ที่มักจะเลือกใช้เครื่องเทศของประเทศตัวเอง เพื่อให้อาหารนั้นมีกลิ่นที่เป็นตัวพิสูจน์และบ่งบอกถึงสัญชาติของอาหารได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เต้าหู้อ่อน เคล็ดลับของความอูมามิ
หลายๆ คนอาจจะชอบใส่เต้าหู้ไข่ลงในซุปกิมจิแทนเต้าหู้อ่อน เพราะว่ามีรสชาติอร่อย เข้มข้น และกินง่ายกว่า แต่รู้หรือไม่ว่าเต้าหู้อ่อนนั้นถือว่าเป็นเคล็ดลับความอร่อยของซุปกิมจิ โดยเต้าหู้อ่อนนั้นมีรสชาติอ่อน กลิ่นหอม และมีเนื้อสัมผัสนิ่ม ซึ่งกิมจินั้นจะมีกรดอะมิโนที่ช่วยให้ซุปมีความเข้มข้น และกลมกล่อม เมื่อนำเต้าหู้อ่อนใส่ลงไปในน้ำซุปกิมจิก็จะทำให้เต้าหู้อ่อนนั้นดูดซึมรสชาติของซุปกิมจิได้มากกว่า และทำให้ตัวเต้าหู้อ่อนนั้นมีรสชาติที่กลอมกล่อม และอร่อยกว่าเต้าหู้ชนิดอื่นๆ เป็นอย่างมาก